ในระบบเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farm) การนำเทคโนโลยีและเซ็นเซอร์เข้ามาใช้ควบคุมปัจจัยการผลิตถือเป็นหัวใจสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของผลผลิต “เซ็นเซอร์วัดแสง” เป็นหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐาน แต่การเลือกใช้เซ็นเซอร์ที่เหมาะสมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ เนื่องจากพืชและมนุษย์ตอบสนองต่อแสงแตกต่างกัน
บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างทางหลักการและการใช้งานระหว่างเซ็นเซอร์ PPFD (PAR) และ Lux เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกเครื่องมือให้ตรงตามวัตถุประสงค์ด้านพฤกษศาสตร์อย่างแท้จริง

อ้างอิง : What are PAR, PPF and PPFD, and why should you care? – Light Science Technologies
ความแตกต่างในการตอบสนองต่อแสงระหว่างมนุษย์และพืช
ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างเซ็นเซอร์สองชนิดนี้อยู่ที่สิ่งที่มันถูกออกแบบมาเพื่อวัด
Lux Sensor: ถูกออกแบบมาเพื่อวัดค่าความสว่าง (Luminance) ในหน่วย ลักซ์ (Lux) โดยอ้างอิงตามการตอบสนองของดวงตามนุษย์ (Human eye sensitivity) ซึ่งมีความไวสูงสุดต่อแสงในช่วงคลื่นสีเขียว-เหลือง ดังนั้น ค่า Lux จึงเป็นตัวชี้วัดความสว่างในมุมมองของมนุษย์ เหมาะสำหรับงานด้านแสงสว่างทั่วไปในอาคารหรือที่พักอาศัย


PPFD (PAR) Sensor: ถูกออกแบบมาเพื่อวัดค่าแสงในเชิงพฤกษศาสตร์โดยตรง โดยวัดปริมาณโฟตอน (Photon) ที่พืชสามารถนำไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
- PAR (Photosynthetically Active Radiation): คือช่วงคลื่นแสงที่พืชใช้ในการสังเคราะห์แสง ซึ่งครอบคลุมช่วง 400 ถึง 700 นาโนเมตร (nm)
- PPFD (Photosynthetic Photon Flux Density): คือหน่วยวัดของ PAR ที่ระบุถึง “ความหนาแน่นของโฟตอนที่ตกกระทบบนพื้นที่ในหนึ่งหน่วยเวลา” โดยมีหน่วยเป็น
- μmol/m²·s (ไมโครโมลต่อตารางเมตรต่อวินาที) ค่านี้จึงเป็นตัวแทนของ “พลังงานแสง” ที่พืชได้รับสำหรับใช้ในการเจริญเติบโต
อ้างอิง : PPFD Meter Par Meter HPL220P LED Grow Lights Tester PAR PPFD Meter Sensor Spectrometer – LaserSE
ข้อจำกัดของ Lux Sensor ในการใช้งานด้านพฤกษศาสตร์
การใช้ Lux Sensor เพื่อวัดแสงสำหรับพืชอาจนำไปสู่การประเมินค่าที่คลาดเคลื่อนได้ เนื่องจาก
Lux Sensor ไม่ได้วัดแสงในช่วงคลื่นสีแดงและน้ำเงินซึ่งมีความสำคัญต่อการสังเคราะห์แสงได้ดีเท่ากับแสงสีเขียว ตัวอย่างเช่น แหล่งกำเนิดแสงสำหรับปลูกพืช (Grow Light) ที่เน้นให้แสงสีแดงและน้ำเงินเป็นหลัก อาจให้ค่า Lux ที่ต่ำ แต่มีค่า PPFD ที่สูงและเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ในทางกลับกัน แสงที่มีสีเขียวสูงจะให้ค่า Lux สูง แต่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้น้อยกว่า
ดังนั้น การอ้างอิงค่า Lux เพียงอย่างเดียวจึงไม่สามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพของแสงที่พืชจะได้รับได้อย่างแม่นยำ
PPFD: มาตรฐานการวัดแสงเพื่อการเจริญเติบโตของพืช
สำหรับ Smart Farm และการทำเกษตรในระบบปิด (Controlled Environment Agriculture) การใช้ PPFD Sensor ถือเป็นมาตรฐาน เนื่องจากให้ข้อมูลที่ถูกต้องและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ดังนี้:
- การปรับสูตรแสง (Light Recipe): ช่วยให้สามารถปรับความเข้มแสง (PPFD) ให้เหมาะสมกับความต้องการของพืชแต่ละชนิดและแต่ละช่วงการเจริญเติบโตได้อย่างแม่นยำ
- การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน: ทำให้สามารถให้แสงในปริมาณที่พืชต้องการอย่างพอดี ไม่สิ้นเปลืองพลังงานไปกับแสงที่ไม่มีประสิทธิภาพ
- การควบคุมคุณภาพผลผลิต: การควบคุมปริมาณและคุณภาพแสงที่แม่นยำส่งผลโดยตรงต่อการสะสมสารสำคัญในพืช
กรณีศึกษาจากงานวิจัยในประเทศไทย: การปลูกมะเขือเทศเชอร์รี
งานวิจัยของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยขอนแก่น1 ช่วยยืนยันความสำคัญของการใช้ PPFD ได้เป็นอย่างดี โดยทีมวิจัยได้ใช้ PPFD Sensor เป็นเครื่องมือวัดมาตรฐานในการเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของมะเขือเทศเชอร์รีใน 4 สภาพแวดล้อม
- ด้านขนาดและน้ำหนัก: การปลูกในแปลงเปิด (E1) ที่มีค่า PPFD สูงที่สุด (1,662.4 μmol/m2/s) ให้ผลผลิตที่มีขนาดและน้ำหนักผลมากที่สุด
- ด้านคุณภาพและสารอาหาร: การปลูกในโรงงานผลิตพืช (E3) ที่มีการควบคุมสัดส่วนแสง LED และให้ค่า PPFD ที่ 323.1 μ mol/m2/s กลับส่งผลให้มะเขือเทศบางสายพันธุ์มีการสะสมสารไลโคพีนและเบต้าแคโรทีนสูงที่สุด
กรณีศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การควบคุมค่า PPFD ให้เหมาะสม ไม่เพียงส่งผลต่อน้ำหนัก แต่ยังสามารถเพิ่มคุณภาพทางโภชนาการ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการทำเกษตรสมัยใหม่ได้อีกด้วย
บทสรุป
การเลือกใช้เซ็นเซอร์วัดแสงที่ถูกต้องเป็นปัจจัยสำคัญในการทำเกษตรอัจฉริยะ แม้ Lux Sensor จะมีประโยชน์ในการวัดความสว่างทั่วไป แต่สำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการเจริญเติบโตของพืชแล้ว PPFD Sensor คือเครื่องมือมาตรฐานที่ให้ข้อมูลแม่นยำและจำเป็นต่อการควบคุมคุณภาพและปริมาณของผลผลิตให้เป็นไปตามเป้าหมาย
เอกสารอ้างอิง