1. สภาพปัญหา: วิกฤตมีเทนที่ซ่อนอยู่ในนาข้าวไทย
ภาคการเกษตรของไทยเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำคัญ คิดเป็น 15.23% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดในประเทศ โดยปัญหาหลักมาจากการปลูกข้าว วิธีการทำนาแบบดั้งเดิมที่ต้องขังน้ำไว้ตลอดเวลา ทำให้เกิดสภาวะไร้อากาศใต้ดิน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดก๊าซมีเทน (CH4) ในปริมาณมาก ก๊าซมีเทนมีความรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 85 เท่าในระยะสั้น ส่งผลให้การปลูกข้าวเพียงอย่างเดียวกลายเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในภาคเกษตร คิดเป็น 50.58%
2. แนวทางการแก้ไข: เทคนิค “เปียกสลับแห้ง” (AWD)
การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) เพื่อแก้ปัญหาน้ำและก๊าซมีเทน
เทคนิค AWD (Alternate Wetting and Drying) หรือ “นาเปียกสลับแห้ง” เป็นแนวทางการจัดการน้ำในนาข้าวที่แตกต่างจากการขังน้ำแบบถาวร โดยจะมีการปล่อยให้น้ำท่วมและแห้งสลับกันเป็นระยะ
หลักการทำงาน:
เมื่อหน้าดินแห้ง จะช่วยให้อากาศแทรกซึมลงสู่ดิน ทำให้ไม่เกิดสภาวะที่เอื้อต่อการสร้างก๊าซมีเทน
ประโยชน์ที่ได้รับ:
- ลดก๊าซมีเทน: ลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้มากถึง 50%
- ประหยัดน้ำ: ลดปริมาณการใช้น้ำได้ 15–35% (และบางงานวิจัยในประเทศไทยพบว่าลดได้ถึง 90%)
- เศรษฐกิจเกษตร: วิธีนี้เน้นที่การรักษาผลผลิตไม่ให้ลดลง และงานวิจัยบางชิ้นยังพบว่าสามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตได้อีกด้วย


3. การประยุกต์ใช้ Smart Farm: จากการปฏิบัติสู่มูลค่าคาร์บอนเครดิต
ในอดีต การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) ถูกมองว่าเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติเพื่อลดต้นทุน แต่ด้วยการเข้ามาของเทคโนโลยี Smart Farming ในปัจจุบัน แนวปฏิบัตินี้ได้กลายเป็น “มูลค่า” ที่จับต้องได้ หัวใจสำคัญอยู่ที่การเชื่อมโยง AWD เข้ากับคาร์บอนเครดิต โดยเมื่อเกษตรกรสามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้ ก๊าซที่ลดลงนี้จะสามารถนำไปคำนวณและวิเคราะห์เพื่อสร้างเป็นเครดิตคาร์บอนที่สามารถซื้อขายได้
อย่างไรก็ตาม การจะสร้างเครดิตคาร์บอนคุณภาพสูง (Premium) ได้นั้น จำเป็นต้องมีความแม่นยำสูงสุดในการติดตาม รายงาน และทวนสอบ (MRV) ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญของ Smart Farm โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ Digital MRV (dMRV) แทนที่จะพึ่งพาสมุดจดของเกษตรกร เทคโนโลยี dMRV ใช้ข้อมูลที่แม่นยำกว่า เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อตรวจสอบรูปแบบการให้น้ำว่ามีการทำ AWD จริงหรือไม่ หรือใช้เซ็นเซอร์ภาคพื้นดินเพื่อวัดผลโดยตรง (Tier 3) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุด
4. กรณีศึกษาในไทย: โครงการ Premium T-VER ที่กำแพงเพชร
กรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุดในประเทศไทยคือโครงการ Premium T-VER ซึ่งเป็นโครงการคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจคุณภาพสูงที่รัฐบาลให้การสนับสนุน บริษัท Green Carbon ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ได้นำร่องโครงการ AWD (เปียกสลับแห้ง) ในจังหวัดกำแพงเพชร โดยโครงการนี้ได้ขึ้นทะเบียนภายใต้ Premium T-VER ด้วย
เป้าหมายโครงการ: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO2e) ประมาณ 450,000 ตัน ภายใน 5 ปี
นัยสำคัญ: กรณีศึกษานี้ตอกย้ำว่า AWD ไม่ใช่เพียงแนวคิดทางทฤษฎี แต่ได้ถูกนำมาปรับใช้เป็นนโยบายระดับประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหามีเทนจากการทำนาข้าวได้อย่างเป็นรูปธรรม
อ้างอิง: Green Carbon’s AWD project in Kamphaeng Phet listed under Thailand’s Premium T-VER scheme
5. เทคโนโลยีเบื้องหลัง: “ตา” จากดาวเทียมที่มองเห็นก๊าซเรือนกระจก
การขยายผล (Scale up) ของ Smart Farming ในระดับประเทศ อาศัยเทคโนโลยีที่มองเห็นภาพกว้าง นั่นคือ “ดาวเทียม”
แม้การติดตั้งเซ็นเซอร์ภาคพื้นดิน (เช่น ในแปลงนา) จะแม่นยำ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงและขยายผลได้ยาก ดาวเทียมจึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าในการติดตามแหล่งกำเนิดก๊าซมีเทนขนาดใหญ่ในระดับภูมิภาคหรือระดับโลก
ตัวอย่างดาวเทียมที่ใช้ในภารกิจนี้
| ดาวเทียม / โครงการ | ประเทศ / องค์กรหลัก | ข้อมูลสำคัญและภารกิจหลัก | สถานะล่าสุด (ณ ปัจจุบัน) |
| GOSAT-GW (Ibuki-2) | ญี่ปุ่น (JAXA) | ภารกิจ: Global Observing SATellite for Greenhouse gases and Water cycle (ดาวเทียมสำรวจก๊าซเรือนกระจกและวงจรน้ำโลก) อุปกรณ์หลัก: TANSO-3 (Total Anthropogenic and Natural emissions mapping SpectrOmeter-3) และ AMSR3 (สำหรับวัดวงจรน้ำ). สถานะ: ปล่อยสำเร็จและเริ่มปฏิบัติการสำคัญแล้วในเดือนกรกฎาคม 2568 (ตามข้อมูลการค้นหา). อายุภารกิจที่วางแผน: 7 ปี | ปล่อยสำเร็จแล้ว (เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2025 JST) และเข้าสู่สถานะปฏิบัติการ |
| Sentinel-5P | สหภาพยุโรป (ESA) | ภารกิจ: เป็นภารกิจแรกของ โครงการ Copernicus แห่งสหภาพยุโรปที่เน้นการตรวจสอบ บรรยากาศโลก โดยเฉพาะ อุปกรณ์หลัก: TROPOMI (TROPOspheric Monitoring Instrument) ความสามารถ: ตรวจสอบมลพิษทางอากาศทั่วโลก, เฝ้าระวังเถ้าภูเขาไฟ, และแจ้งเตือนรังสี UV ที่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง ความละเอียด: ตรวจจับมลพิษเหนือเมืองได้ที่ความละเอียดสูงสุด 7 กม. x 3.5 กม. | ปล่อยสำเร็จแล้ว (เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2017) ปฏิบัติการมาอย่างต่อเนื่อง และให้ข้อมูลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย |
| Carbon Mapper | สหรัฐฯ (Coalition) | องค์กร: เป็น องค์กรไม่แสวงผลกำไร 501c3 ที่มุ่งเน้นการจัดทำข้อมูลและปรับปรุงการตรวจสอบก๊าซมีเทน CH4 และ CO2 ทั่วโลก ภารกิจ: ระบุ ตำแหน่ง และปริมาณการปล่อยก๊าซมีเทนและ CO2 ที่มีความเข้มข้นสูงในระดับโรงงานหรือพื้นที่เฉพาะ (“Super-Emitters”) อย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยี: ใช้เทคโนโลยี การสำรวจระยะไกลแบบไฮเปอร์สเปกตรัม ทั้งจากเครื่องบินและดาวเทียม ข้อมูล: ข้อมูลที่รวบรวมได้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน การใช้งานที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ สำหรับรัฐบาล นักวิจัย และองค์กรไม่แสวงผลกำไร | เริ่มดำเนินการปล่อย และใช้ข้อมูลจากหลายเซนเซอร์ รวมถึงจากดาวเทียมและเครื่องบิน (เน้นที่การสร้างระบบข้อมูลที่เข้าถึงง่าย) |
| MicroCarb | ฝรั่งเศส (CNES) | ภารกิจ: วัดการกระจายตัวของ CO2 ในชั้นบรรยากาศโลก เพื่อทำแผนที่และทำความเข้าใจ แหล่งกำเนิด (Sources) และ แหล่งดูดซับ (Sinks) ของคาร์บอน ความร่วมมือ: เป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง CNES (ฝรั่งเศส) และ UKSA (สหราชอาณาจักร) ความแม่นยำ: ตั้งเป้าหมายความแม่นยำในการวัดความเข้มข้น CO2 ที่สูงมาก อยู่ที่ประมาณ ⩰ 1 ppm อุปกรณ์หลัก: สเปกโตรมิเตอร์แบบพาสซีฟอินฟราเรด | ปล่อยสำเร็จแล้ว (ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2025) และเข้าสู่ขั้นตอนการส่งข้อมูล |
6. บทสรุป: อนาคตของการทำนาที่ยั่งยืนด้วย Smart Farm
กรณีศึกษาแสดงให้เห็นว่าการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) มีประโยชน์ถึงสามด้าน ได้แก่ การลดก๊าซเรือนกระจก การอนุรักษ์น้ำ และการเพิ่มรายได้หรือความมั่นคงให้กับเกษตรกร
การทำนาแบบเดิมเปรียบได้กับการตักน้ำใส่นาด้วย “ถังน้ำ” ในทางตรงกันข้าม การทำ AWD ร่วมกับ Smart Farm นั้นเหมือนกับการใช้ “ก๊อกน้ำอัจฉริยะ” ที่มีเซ็นเซอร์วัดผลได้อย่างแม่นยำ การเปิด-ปิดก๊อกน้ำอย่างมีกลยุทธ์ (AWD) ไม่เพียงช่วยประหยัดน้ำ แต่ยังสามารถเปลี่ยนการลดก๊าซมีเทนให้เป็น Carbon Credit ที่สามารถซื้อขายได้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่กำลังผลักดันแนวทางนี้ไปยังพื้นที่เกษตรกรรมหลักอื่นๆ
